โรคหัวใจ Heart Disease
ชั่วโมงการทำงานที่อัดแน่นด้วยความเครียด
และการกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและเกลือ
กำลังคุกคามสุขภาพของคนยุคปัจจุบัน อีกไม่นาน... การใช้ชีวิตสมัยใหม่แบบนี้
อาจทำให้ โรคหัวใจ ระบาดทั่วเมือง...
หัวใจคนเรามี 4 ห้อง แบ่งซ้าย-ขวา โดยผนังของกล้ามเนื้อหัวใจ
และแบ่งเป็นห้องบน–ล่างโดยลิ้นหัวใจ ในทุกๆ วัน หัวใจคนเราจะเต้นประมาณ
100,000 ครั้ง และสูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,000 แกลลอน
เปรียบเสมือนการทำงานปกติของ "หัวใจ" แต่ถ้าวันหนึ่ง...
หัวใจเราเกิดอาการผิดปกติขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร...?
ทั้งนี้ นายแพทย์สุรพันธ์ สิทธิสุข แพทย์จากหน่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
คณะแพทย์ศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า
อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่า
มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สามารถแบ่งได้หลายชนิด ดังนี้
โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน...
คืออาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคหัวใจ พบบ่อยในคนทั่วไปที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี ทั้งที่ความจริงอาจเป็นโรคหัวใจในระยะแรกเริ่ม มีดังนี้
1. เหนื่อยเวลาออกกําลังกาย เพราะหัวใจทําหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง
ๆ ของร่างกาย ขณะที่เราออกกําลังกาย หัวใจจะทํางานหนักมากขึ้น
ปกติเวลาที่เราออกกำลังกายไปถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อย
แต่ในรายของคนที่มีอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย
จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นหากออกกำลังกาย
แล้วรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า คุณอาจเป็นโรคหัวใจ
2. เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะมีลักษณะเฉพาะคือ
รู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอก เหมือนมีของหนักทับอยู่
หรือรัดไว้ให้ขยายตัวเวลาหายใจ โดยมากอาการนี้
จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย
หรือใช้แรงมาก ๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่า อาจเป็นโรคหัวใจ
3. ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายได้อย่าง
เพียงพอ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อย ทั้งที่ออกกำลังกายเพียงนิดหน่อย
หรือเหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ในกรณีที่เป็นมาก
อาจทำให้ไม่สามารถนอนราบได้เหมือนปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ
และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนั้น
อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึกอีกด้วย อาการภาวะหัวใจล้มเหลวนี้
หากไม่รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้
4. ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติหัวใจของเราจะเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประมาณ
60 -100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาจขยับไปถึง150 -250 ครั้ง/นาที
ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอนี้ จะทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น
หายใจไม่ทัน
5. เป็นลมหมดสติ คืออีกหนึ่งอาการที่เตือนว่าคุณอาจเป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ
ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นลมหมดสติสูง
เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ
เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ
ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การเป็นลมหมดสติ
มักจะเกิดในท่ายืนมากกว่านั่ง ทำให้ขณะล้มลงศีรษะมีโอกาสฟาดพื้น
และเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นลมบ่อย ๆ
ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคหัวใจได้
6. หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ในกรณีนี้มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของ โรคหัวใจ มาก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากมีอาการหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่สังเกตได้จากร่างกาย...
นอกจากความผิดปกติชนิดเฉียบพลันแล้ว
อาการบ่งชี้ที่สังเกตได้จากร่างกายของเราเอง
ก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เตือนให้รู้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ และควรไปพบแพทย์โดยด่วนได้เช่นกัน เป็นต้นว่า...
1. ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป
ซึ่งหากเกิดขึ้นกับใคร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน
เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า
เวลานี้คุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยที่ไม่รู้ตัว
2. ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า
ทางเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้ายมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ
ส่งผลให้เกิดการผสมของเลือดแดงกับเลือดดํา
และทําให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยลง
โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่ตรวจพบขณะตรวจร่างกาย... การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคาดคะเนความเสี่ยงต่อการเกิด
โรคหัวใจ ได้
เช่น ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง
ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน
หรือเอ็กซเรย์แล้วพบว่า ขนาดของหัวใจโตกว่าปกติ
ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว
และกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนกำลังลง ทำให้ห้องต่างๆ
ของหัวใจขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง
ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
ป้องกันโรคหัวใจอย่างไรดี... ข้อมูลที่ได้บอกไปข้างต้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เรามีอัตราเสี่ยงสูงต่อการป่วยเป็น
โรคหัวใจเท่านั้น ซึ่งผู้ที่จะวินิจฉัยว่าเราเป็น
โรคหัวใจ หรือไม่ คือแพทย์
โรคหัวใจ เท่านั้น ดังนั้นหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนดีที่สุด
สำหรับคนที่หัวใจยังเป็นปกติ เรามีข้อแนะนำในการดูแลหัวใจ (ก่อนสายเกินไป) ดังนี้ค่ะ
- สังเกตความผิดปกติของตัวเองอยู่เสมอ
โดยเฉพาะอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่น
ดูว่าอัตราการเต้นของหัวใจปกติดีหรือไม่ เจ็บหน้าอก ใจสั่นบ่อย ๆ หรือเปล่า
เป็นต้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพจิตแจ่มใสแล้ว
ยังช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้นอีกด้วย
-
ดูแลสุขภาพใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ พยายามไม่เครียด รู้จักควบคุมอารมณ์
และพึงระลึกไว้เสมอว่า ความเครียดและความโกรธ
เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และทำงานหนักขึ้น
-
รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยงดอาหารที่มีไขมันสูง
ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย
และหันไปกินผักผลไม้ให้มากขึ้น
- ควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจคาดไม่ถึง เช่น
โรคหัวใจ ซึ่งแฝงอยู่ในตัวเราตั้งแต่เนิ่น ๆ
...
ยามใดที่ร่างกายอ่อนล้า เราหยุดพักให้หายเหนื่อยได้...
แต่ยามใดที่หัวใจอ่อนแรง มันก็ยังคงเดินต่อไป ทำงานต่อไป... เพราะฉะนั้น
เมื่อรู้ว่า "หัวใจ" คนเราไม่เคยหยุดพัก อย่าลืมดูแลรักษามันไว้ให้ดี ๆ
นะคะ เพือจะได้ไม่เป็นโรคหัวใจค่ะ